Big data กับ วงการยา ตอนที่2



หลังจากที่ได้นำเสนอเรื่อง Big Data Analytic ในวงการยา
ก็มีหลายท่านถามมาเยอะว่า 

หลังจากได้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว อยากจะรู้เรื่องนี้
มันจะใช้เทคนิคอะไรยังไงนะ  
หรือ ปัญหาแบบนี้ มันคืออะไรกันแน่

ออกตัวก่อนว่า ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Big data ขนาดที่จะตอบได้โดยไม่ต้องหาข้อมูล เลยไปหาข้อมูลจาก หนังสือชื่อว่า Data Science for Business มาแบ่งบันกัน
ซึ่งหนังสือได้แบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 9 ประเภท ดังนี้




Image result for analytics

1. Classification

Classification เป็นเทคนิคจำพวก Supervised Learning คือ 
ต้องมีข้อมูลที่มีทั้ง X และ Y ไว้สร้างโมเดล โดยค่า Y ที่เราสนใจนั้น 
จะเป็นตัวแปรประเภท Categorical หรือ เป็นตัวแปรกลุ่ม
ตัวอย่าง เช่น
  • -สร้าง Credit Scoring Model ขึ้นมา โดยทางแผนก OTC จะได้ใช้ประโยชน์
    ในการทำนายว่า หนี้อันนี้จะเป็นหนี้ดีหรือหนี้เสีย
  • -ทำ Churn Prediction ใช้บ่อยในวงการ โทรศัพท์มือถือ เพื่อทำนายว่าลูกค้าจะย้ายค่ายหรือเปล่า
เทคนิคที่ใช้ ก็มีตั้งแต่ Decision Tree หรือ Logistics Regression 
Related image

2. Regression


เป็นเทคนิค Supervised Learning อีกจำพวกหนึ่งที่ตัวแปร Y เป็นค่าตัวเลข โมเดลนี้จะทำการพยากรณ์ค่าออกมาเป็นตัวเลขเลย เช่น
พยากรณ์ยอดขาย พยากรณ์ปริมาณลูกค้า
ความซับซ้อนของการทำโมเดลประเภทนี้ คือ ตัวแปร X มักจะต้องอยู่ในช่วงเวลาที่เกิดก่อนตัวแปร Y เพราะถ้าตัวแปร X ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับ Y
มาใช้พยากรณ์นั้น จะเหมือนเอาเฉลยมาใช้ในการพยากรณ์
ตัวอย่าง เช่น
  • พยากรณ์ความต้องการในการใช้ Product (Product Manager ใช้บ่อย)
  • พยากรณ์ยอดขายของผลิตภัณฑ์ (อันนี้แผนกขาย ใช้บ่อย)
เทคนิคที่ใช้ ได้แก่ Regression ประเภทต่างๆ หรือพวก Time-series Models
Image result for Regression

3. Causal Modeling


ต้องบอกก่อนว่า “correlation does not imply causation” หรือ
การที่ตัวแปรสองตัวมีค่าความสัมพันธ์กันนั้น ไม่ได้แปลว่า
ตัวแปรหนึ่งส่งผลต่อตัวแปรหนึ่ง
ถ้าอยากรู้ว่า ตัวแปร X ทำให้เกิด Y จริงๆ ก็ต้องไปทำ
Causal Modeling
ซึ่งจะต้องควบคุมผลกระทบของปัจจัยอื่นๆ อีก
โดยมากจะทำเป็น Experiment Design
ตัวอย่าง เช่น
  • การทำ A/B Testing เพื่อทดสอบว่า Feature ไหน มีผลต่อ
    Conversion Rate มากกว่ากัน
  • ให้ลูกค้าทดลองกินไอศครีมหลายๆ รส โดยมีการ control ทั้งลำดับที่กิน
    กินแล้วให้กินน้ำกับ cracker แล้วเลือกว่าชอบรสไหน
    เพื่อทดสอบว่า รสไหนอร่อยสุด 
เทคนิคที่ใช้ ก็พวก GLM (General Linear Modeling)
เช่นพวก ANOVA ANCOVA และอีกมากมาย (อันนี้ไม่เคยใช้ครับ)
Image result for General Linear Modeling




4. Data Reduction


เวลาเรามีตัวแปร X เยอะๆ พอเอาเข้าไปสร้างโมเดล บางทีเค้าก็ตีกันเอง
แย่งกันอธิบาย Y กันใหญ่ ทำให้มีปัญหาที่เราเรียกว่า Multicollinearity
บางคนก็เกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง ไม่อยากทิ้งตัวแปรไหนไป
ก็เลยเอาตัวแปรเหล่านี้มาจัดการรวบเป็นกลุ่มใหม่ขึ้นมาซะ จาก 50 ตัวแปร
อาจจะเหลือจัดเป็นกลุ่มแล้วได้ซัก 5 ปัจจัย หรือ 5 Factors ก็ได้
เทคนิคจากนี้เป็นต้นไปจะเป็นเทคนิคพวก Unsupervised Learning ละครับ
ก็คือ ข้อมูลที่ใช้ในการสร้าง Model นั้น ไม่จำเป็นต้องมี Y มาก่อน
ตัวอย่าง เช่น
  • เอาตัวแปรต้นของการพยากรณ์ความน่าจะเป็นในการซื้อสินค้า
    มาจัดกลุ่มเป็นปัจจัย หรือ Factor (อันนี้ใช้ในการแบ่งประเภทของลูกค้า)
เทคนิคจำพวกนี้ ก็ได้แก่ Principle Component Analysis หรือ
Exploratory Factor Analysis
Image result for Principal Component Analysis

5. Co-occurrences Grouping


เทคนิคการวิเคราะห์นี้ จะเป็นการดูว่าอะไรเกิดขึ้นพร้อมกันบ่อยๆ วิเคราะห์หาความน่าจะเป็นของการเกิดของสองสิ่ง สามสิ่ง หรือ หลายๆ สิ่ง พร้อมกัน
ตัวอย่าง เช่น
  • หาว่าสินค้าไหนใน ร้านยา ถูกซื้อคู่กันบ่อยๆ 
  • เทคนิคเหล่านี้ เช่น Market Basket Analysis
Image result for Market Basket Analysis

6. Link Prediction

เป็นการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงของเครือข่าย ว่าใครหรือของสิ่งไหนน่าจะมีความเชื่อมโยงไปยังอีกจุดหนึ่ง
ตัวอย่าง เช่น
  • วิเคราะห์หาว่าเราควรจะรู้จักใครอีกในเครือข่ายนี้
    (อันนี้ไม่ค่อยได้ใช้ในวงการยา)
เทคนิคเหล่านี้ เช่น Social Network Analysis
Image result for Social Network Analysis

7. Similarity Matching

การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาว่าคนหรือสิ่งของคู่ไหน ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันบ้าง
ตัวอย่าง เช่น
  • หาว่า Users คนไหนมีความคล้ายคลึงกัน เพื่อนำเอารูปแบบ
    การซื้อของคนหนึ่ง ไปแนะนำให้อีกคนหนึ่ง
  • แนะนำผู้โดยสารว่า ควรไปเที่ยวที่ไหนดี โดยดูว่าผู้โดยสารคนนี้
    มีลักษณะเหมือนผู้โดยสารคนไหนอีกบ้าง
เทคนิคเหล่านี้ เช่น Nearest Neighbor
Image result for Nearest Neighbor

8. Clustering

เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดกลุ่มคน หรือ สิ่งของ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
ตัวอย่าง เช่น
  • จัดกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการซื้อสินค้า
  • จัดกลุ่มร้านค้าสาขา ตามรูปแบบการขายหรือประเภทลูกค้าที่เข้าร้าน
เทคนิคพวกนี้ ได้แก่ K-means Clustering
Image result for K-means Clustering

9. Profiling

เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน คือ การอธิบายลักษณะเด่นของสิ่งที่เราสนใจ โดยมาก ก็จะทำจากการหาค่าเฉลี่ยพฤติกรรมต่างๆ
ของคนในกลุ่ม หรือ เลือกตัวแทนกลุ่มที่น่าสนใจมาใช้อธิบายพฤติกรรมของกลุ่มนั้นๆ
ตัวอย่าง เช่น
  • อธิบายพฤติกรรมหรือลักษณะเด่นของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม
เทคนิคพวกนี้ ได้แก่พวก Descriptive Analysis ทั้งหลาย
(เช่น หา mean หา sum)
Related image

ผมเชื่อว่าหลายท่านได้อ่านจนจบแล้วทั้ง9ข้อ อาจจะมึนหัวได้ ซึ่งจริงๆการทำData Analytic จะมีเรื่องของสถิติมาเกี่ยวข้องเสมอครับ
(ผมเองก็ไม่ชอบเป็นอย่างมาก 555) ซึ่งที่นำเสนอมาเพื่อให้ทางผู้ที่จะเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลขที่เรามี ได้รู้ถึงขอบเขตของการทำ Big Data Analytics ส่วนเราจะเลือกการวิเคราะห์แบบไหน อยู่ที่โจทย์ของเรามากกว่าว่าต้องการรู้อะไรหรือต้องการการวิเคราะห์ด้านไหนจากข้อมูลที่เรามีอยู่
เช่น Sale Manager อยากทราบการพยากรณ์ยอดขายของลูกทีมแต่ละคน หรือ แต่ละโรงพยาบาล ก็อาจจะใช้Tool Regression และ Data Reduction ร่วมด้วยก็ได้ ซึ่งในProgram Rapid miner จะมี Tool ให้เราเลือกเยอะมาก แต่ก็จะครอบคลุมใน 9 ข้อนี้ทั้งนั้นครับ
สุดท้าย การทำData analytic ไม่ยากเกินไป ไม่ใช่ศาสตร์แห่งตัวเลขอย่างเดียว
แต่เป็นหลายๆศาสตร์ที่ผสมผสานกัน ขึ้นกับเจ้าของข้อมูลว่าจะใช้ประโยชน์ของข้อมูลที่เรามีได้เต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า อย่าเป็นข้อมูลท่วมหัว ใช้ประโยชน์ไม่ได้ครับ 
เรียบเรียง
ภก.ภูริทัต ว่องพุฒิพงศ์
PharmConnection


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทฤษฎีโครงสร้างการเล่าเรื่อง (Storytelling)

ตัวอย่าง Cover Letter ที่ถูกต้อง

น้องตูน MSL